วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ดวงสัมพันธ์กับศีล 2
เอาทรัพย์ของบุคคลอื่นมาโดยมิชอบ ลักทรัพย์ในที่อย่าเข้าใจว่าขโมยอย่างเดียว ความจริงการยักยอก การยืมเงินแล้วไม่คืน กระทั่งโกงตาชั่ง ค้ากำไรเกินควร ปล่อยเงินกู้ ดอกเบี้ยหน้าเลือด ก็เข้าข่ายด้วย ซึ่งจะเห็นผลต่อดวงคือ ทำให้เป็นคนที่ได้รับความวิบัติเรื่องทรัพย์สิน เพราะกรรมข้อนี้คือ ความเสื่อมของทรัพย์ ทรัพย์สินที่มีอยู่จะเก็บก็ไม่อยู่ มีเหตุให้ต้องหมดไป ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง ตัวอย่างเช่น
* เกิดมาในครอบครัวลำบากทางด้านการเงินมาตั้งแต่เด็ก
* บางคนตอนเด็กสบาย แต่พอโตมาต้องเจอปัญหาครอบครัวล้มละลาย เป็นหนี้เป็นสินมากมาย ต้องรับมรดกหนี้แทนพ่อแม่ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ
* ต้องเจอกับภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม พายุ แผ่นดินไหว หรือไฟไหม้บ้าน
* ทรัพย์สินหายง่าย เช่น โทรศัพท์หาย กระเป๋าเงินหาย รถหาย โดนยกเค้าบ้าน หรือ โดนจี้ โดนปล้น
* โดนโกง โดนหักหลัง ยืมเงินแล้วไม่คืน
* ลงทุนแล้วขาดทุนเสมอ แม้กระทั่งหุ้นกับคนอื่นก็พัง
* ซื้อของ ได้แต่ของมีตำหนิ หรือเสียง่าย พังง่าย ต้องซ่อมง่าย ทั้ง ๆ ที่มีราคาแพง
* เก็บเงินไม่อยู่ ตั้งใจเก็บแค่ไหนก็ไม่ได้ มีเหตุให้จ่ายออก เพราะกรรมจะทำให้ทรัพย์สินมีทางออกอยู่เสมอ
*มีแต่คนจ้องจะเอาเปรียบด้านเงิน ๆ ทอง ๆ
ผลกรรมจากการลักทรัพย์จะตกแต่งหน้าตา โหงวเฮ้ง
* หน้าตาจะฉลาดแกมโกง ไม่น่าไว้วางใจ ตั้งแต่แรก บางคนดุดถ หรือหยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ หน้าตาก็ดูดี แถมนิสัยเก่าที่ติดมายังทำให้เป็นคนโลภอยากรวยทางลัด ชอบเล่นหุ้น เล่นหวย รวมทั้งการพนัน แต่ก็มักถูกโกง จนไม่มีเงินเหลือ
สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหากรรมเรื่องเงินสงผลอยู่ ลองสร้างทานบารมีอยู่เรื่อย ๆ เช่น บริจาคเงินให้มูลนิธิต่าง ๆ หรือช่วยคนที่ยากไร้กว่า มีน้อยก็ทำน้อยไปเรื่อย ๆ
<<< จากหนังสือ เกิดใหม่ ครั้งที่สอง หมอพีร์>>>
ดวงสัมพันธ์กับศีล
การผิดศีลห้า จะทำให้ดวงออกมาดังต่อไปนี้
ทำให้มีเคราะห์เกี่ยวกับร่างกาย เช่น
* ร่างกายพิการไม่ครบสามสิบสองประการเป็นได้ทั้งแรกเกิดหรือภายหลัง
* ถ้าฆ่าสัตว์แบบทรมาน ผลที่ได้รับก็จะตรงไปตรงมาคือ ทำให้ได้รับความทรมานทางด้านร่างกาย หรือต้องเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต
* ได้รับอุบัติเหตุ ทำให้ร่างกายต้องได้รับบาดเจ็บหรือได้รับแต่บาดแผลต่าง ๆ อยู่เสมอ
* มีโรคประจำตัวที่รักษายาก เช่น มะเร็ง เนื้องอก เบาหวาน หัวใจ ความดัน โรคเลือด ภูมิแพ้
* เจ็บป่วยไม่สบายอยู่บ่อย ๆ เป็นหวัดหรือท้องเสียงาน รวมทั้งมักมีปัญหาผิวหนัง
*การฆ่าสัตว์ถือเป็นการทอนอายุตัวเองทำให้อายุสั้นลง
*บางคนใช้ยาฉีกฆ่ามด ฆ่ายุงตายเป็นเบือ หรือวางยาเบื่อหนู ผลที่ได้รับคือร่างกายเป็นภูมิแพ้ได้ง่าย ๆ หลายคนที่คิดว่าฆ่าสัตว์เล็กไม่เป็นไร เช่น มด ยุง ปลวก แค่ยุงบินผ่านก็ตบหรือบางคนเห็นแมลงสาบก็ใช้รองเท้าตบ ถึงแม้ตัวมันจะเล็กนิดเดียว แต่ถ้าจิตของเราขณะตบมีความพยาบาทรุนแรง กรรมก็จะแรงเป็นเงาตามตัวด้วย เช่น มันดูดเลือกไม่ถึงซีซี แต่เราโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตามล้างตามเช็ดด้วยจิตที่มีกำลังพยาบาทแรง ซึ่งถ้าเราพลาดตกบันไดตาย ตอนนั้นก็ต้องตกนรกเพราะยุงตัวเดียว
ผลกรรมจากการฆ่าสัตว์จะตกแต่งหน้าตา โหงวเฮ้ง
· มีผิวพรรณ หยาบ ๆ ไม่ละเอียด ไม่เรียบเนียน บางคนหน้าจะโหด เหมือนโจร เหมือนผู้ร้าย ส่วนดวงตัวเลขจะเห็นชัดว่า มีแต่ดวงผ่าตัด ร่างกายจะต้องมีปัญหาตลอด
· ใครที่กำลังเจอปัญหาเรื่องสุขภาพอยู่ หรือมีสัญญาณเตือนภัยว่าจะเป็นโรคร้าย ให้ลองปฏิบัติตามนี้ดู
* เลิกฆ่าสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นยุง มด ปลวก แมลงสาบ ฯลฯ
* พยายามแก้ตัวด้วยการช่วยชีวิตสัตว์คืนกลับเรื่อย ๆ เช่น ปลาตามตลาดที่จะเอาไปทำอาหาร
* ทำบุญด้วยยา
* ช่วยคนที่มีปัญหาทางด้านร่างกายตลอด
<<< จากหนังสือ เกิดใหม่ ครั้งที่สอง หมอพีร์>>>
วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
บทความดี ๆ
การจะสร้างความสุขได้นั้น ควรจะเริ่มจากการหยุดพัก หยุดคิด และหยุดวิ่งวุ่นวายในชีวิตประจำวัน และหันมาชื่นชมต่อสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอดีตให้มากขึ้น เนื่องจากวิถีการดำรงชีวิตของเราในปัจจุบันจะไม่หยุดนิ่ง และวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น การได้หยุดพักนิ่งๆ แล้วค่อยๆ ชื่นชม และให้ความสำคัญกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งกับตัวเราและรอบๆ ตัว ก็จะนำพาความสุขสู่ตัวเราได้ ทั้งนี้ เนื่องจากสภาพการดำรงชีวิตปัจจุบันที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว เราจะปล่อยให้สิ่งต่างๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็วและไม่ได้มีเวลาในการเพ่งพิจารณาและชื่นชมกับสิ่งเหล่านั้น ดังนั้น การชื่นชม และให้ความสำคัญกับสิ่งเล็กๆ น้อยเหล่านี้ ก็ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้นได้
ประการที่สอง คือ ให้หยุดเปรียบเทียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปรียบเทียบระหว่างตนเองกับผู้อื่น ถึงแม้ทฤษฎีการจัดการของต่างประเทศนั้นให้ความสำคัญกับการเปรียบเทียบ เพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจ และมีแนวทางในการพัฒนาตนเองมากขึ้น แต่ถ้าอยากมีความสุขนั้น เราควรจะหยุดมองและเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นครับ เนื่องจากเมื่อเราเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกอยากจะมี อยากจะได้ เหมือนที่ผู้อื่นมี และเมื่อเราไม่สามารถ มี หรือได้ เหมือนผู้อื่นแล้ว เราก็จะไม่มีความสุข เราจะรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่า ทำให้เกิดสูญเสียความมั่นใจ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเปรียบเทียบในเรื่องใดก็ตาม ถ้าอยากจะมีความสุขก็ควรจะหยุดการเปรียบเทียบนั้นซะ และหันมามองในความสำเร็จของตนเอง หรือสิ่งที่ตนเองทำได้จะนำให้เรามีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ และเป็นอยู่มากขึ้น
พฤติกรรมประการที่สาม ที่จะทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้นได้นั้น ก็คือ อย่าให้ความสำคัญกับเรื่องของเงินมากเป็นอันดับต้นๆ ในชีวิต มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นครับว่าคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของเงินเป็นอันดับต้นๆ ในชีวิตนั้น จะมีความเสี่ยงที่จะมีความทุกข์ ความหดหู่ ความไม่มั่นใจในตนเอง จริงอยู่นะครับที่เงินเป็นเรื่องที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต แต่เมื่อใดก็ตาม ที่เรานำเงินเป็นตัวตั้ง ความสุขของเราก็จะเริ่มหดหายไป แต่ถ้าเรามองอีกมุมหนึ่ง ก็คือ ถ้าเราขยัน ซื่อสัตย์ ตั้งใจทำงาน มีความฉลาดเฉลียวในการทำงาน สุดท้ายเงินก็จะมาหาเราเอง ผมเคยคุยกับคนรุ่นใหม่คนหนึ่งที่มีเป้าหมายในชีวิตที่อยากจะช่วยเหลือผู้อื่น แต่เขากลับมองว่าการที่เขาจะช่วยผู้อื่นได้นั้น เขาจะต้องมีเงินก่อน ซึ่งทำให้ชีวิตเขาไม่มีความสุขเท่าที่ควร เนื่องจากเขามีแต่ความมุ่งมั่นที่จะหาเงิน แต่จริงๆ แล้วถ้าเขามองกลับกัน โดยมองว่าถ้าเขาอยากช่วยผู้อื่น เขาก็สามารถช่วยได้ด้วยวิธีการต่างๆ ที่ไม่ต้องใช้เงิน และสุดท้าย เงินก็จะมาหาเขาเอง
การจะมีความสุขได้นั้น เราควรที่จะมีเป้าหมายบางอย่างในชีวิตที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเป้าหมายในด้านการทำงาน เป้าหมายในการเรียนรู้ หรือ เป้าหมายของการเลี้ยงลูกออกมาให้เป็นคนดีและมีความสุข ผู้ที่มีเป้าหมาย มีความฝันจะมีความสุขมากกว่าผู้ที่ไร้ซึ่งเป้าหมายและความฝัน นอกจากการมีเป้าหมายและความฝันในด้านต่างๆ แล้ว สำหรับการมีความสุขในการทำงานนั้น ก็มีข้อเสนอแนะหนึ่งว่าถ้าอยากจะมีความสุขในการทำงานนั้น เราไม่ควรจะทำงานแบบเรื่อยๆ เฉื่อยๆ แต่ควรจะมีความคิดริเริ่มในงานที่รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ การเข้าไปช่วยเหลือผู้อื่น การให้ข้อเสนอแนะในการทำงาน หรือการทำงานที่เพิ่มหรือมากขึ้นกว่าปกติ การทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ที่ไม่ใช่งานประจำที่ทำเป็นปกติ จะทำให้เรามีความสุขในการทำงานมากขึ้น
การจะมีความสุขได้นั้น เราควรที่จะมีเป้าหมายบางอย่างในชีวิตที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเป้าหมายในด้านการทำงาน เป้าหมายในการเรียนรู้ หรือ เป้าหมายของการเลี้ยงลูกออกมาให้เป็นคนดีและมีความสุข ผู้ที่มีเป้าหมาย มีความฝันจะมีความสุขมากกว่าผู้ที่ไร้ซึ่งเป้าหมายและความฝัน นอกจากการมีเป้าหมายและความฝันในด้านต่างๆ แล้ว สำหรับการมีความสุขในการทำงานนั้น ก็มีข้อเสนอแนะหนึ่งว่าถ้าอยากจะมีความสุขในการทำงานนั้น เราไม่ควรจะทำงานแบบเรื่อยๆ เฉื่อยๆ แต่ควรจะมีความคิดริเริ่มในงานที่รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ การเข้าไปช่วยเหลือผู้อื่น การให้ข้อเสนอแนะในการทำงาน หรือการทำงานที่เพิ่มหรือมากขึ้นกว่าปกติ การทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ที่ไม่ใช่งานประจำที่ทำเป็นปกติ จะทำให้เรามีความสุขในการทำงานมากขึ้น
อีกทัศนคติและพฤติกรรมหนึ่งที่นำสู่ความสุขได้นั้นคือการมีทัศนคติในเชิงบวก เนื่องจากคนที่มีความสุข
จะมองสิ่งต่างๆ ในด้านบวก มองโอกาส มองถึงความเป็นไปได้ และมองถึงความสำเร็จ นอกจากการมองถึงโอกาสและความสำเร็จในอนาคตแล้ว ผู้ที่มีความสุข เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตก็จะมองแต่สิ่งดีๆ ดังนั้นถ้าเรามองกลับกัน การที่จะมีความสุขได้ก็ควรจะเริ่มต้นจากการมีพฤติกรรมและทัศนคติในการมองสิ่งต่างๆ ในเชิงบวก อย่างไรก็ดีอาจจะมีข้อโต้แย้งจากบรรดาผู้ที่ชอบมองสิ่งต่างๆ ในเชิงลบนะครับว่าการมองในเชิงบวกมากเกินไป อาจจะทำให้เราเห็นสิ่งต่างๆ เป็นสีชมพู จนลืมมองสิ่งต่างๆ ในแง่ของความเป็นจริง การมองโลกในแง่ลบบางครั้งอาจจะมีข้อดีในแง่ของการทำให้เราระมัดระวัง คอยป้องกันและบริหารความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น และมีการเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับเรื่องของน้ำครึ่งแก้วนั้น ถ้าพวกที่มองโลกในแง่บวก ก็จะคิดอย่างมีความสุขว่า “ยังเหลือน้ำอีกตั้งครึ่งแก้ว” ส่วนพวกที่มองในเชิงลบก็จะมองว่าเหลือน้ำเพียงแค่ครึ่งแก้ว จะต้องคอยหาน้ำมาเติมให้เต็มตลอดเวลา
สรุปก็คือท่านผู้อ่านอาจจะต้องสร้างความสมดุลระหว่างการมองทั้งในเชิงบวกและเชิงลบนะครับ ถ้าบวกมากเกินไปก็อยู่แต่โลกแห่งความฝัน แต่ถ้ามองแต่เชิงลบอย่างเดียวก็จะคอยระมัดระวังและคิดมากเกินไปจนไม่มีความสุข
อีกพฤติกรรมที่นำสู่ความสุขนั้น คือการแสดงถึงความขอบคุณอย่างจริงใจตลอดเวลา ปัญหาประการหนึ่งของคนไทยคือเราอาจจะสำนึกขอบคุณหรือพระคุณที่ผู้อื่นทำให้กับเรา แต่การพูดหรือแสดงออกถึงความขอบคุณนั้นมักจะไม่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน เรามักจะเก็บความรู้สึกขอบคุณนั้นอยู่ในใจเรา แต่ผลจากการทดลองพบว่าผู้ที่แสดงออกถึงความรู้สึกขอบคุณบุคคลต่างๆ หรือ ผู้ที่อยู่รอบข้างเรา จะทำให้เรามีความสุขเพิ่มมากขึ้น มองโลกในแง่ดีเพิ่มขึ้น รวมทั้งเกิดความก้าวหน้าในการบรรลุเป้าหมายต่างๆ ในการทำงาน มีงานวิจัยที่พบว่าผู้ที่ชอบเขียนจดหมายขอบพระคุณไปยังผู้อื่นที่มีผลกระทบต่อชีวิตของเรา จะมีคะแนนในด้านความสุขสูง และความสุขดังกล่าวก็จะยาวนานถึงอาทิตย์ ดังนั้น เพียงแค่การอีเมลหรือเขียนโน้ต แสดงความขอบคุณนั้นจะทำให้เรามีความสุขขึ้นแล้ว
การออกกำลังกายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เรามีความสุขขึ้น จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Duke พบว่าการออกกำลังกายมีผลพอๆ กับการรับทานยาเพื่อแก้ไขอาการหดหู่ เบื่อโลก นอกจากนี้การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอยังทำให้เราเกิดความรู้สึกของการบรรลุความสำเร็จ เนื่องจากการบังคับตัวเองให้ออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอ ทำให้เรามีความรู้สึกเหมือนกับเราสามารถบรรลุเป้าหมายที่สำคัญได้ อีกทั้งการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอยังทำให้ร่างกายเราหลั่งสารเอนโดรฟินที่ช่วยทำให้เรารู้สึกมีความสุขด้วย
ข้อสุดท้ายสำหรับการสร้างสุขก็คือการให้ครับ เมื่อ “การให้” เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราแล้วเราจะมีความสุขมากขึ้น โดยการให้นั้น ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปของตัวเงินเสมอไป การช่วยเพื่อนบ้าน ช่วยเพื่อนร่วมงาน การอาสาสมัครเพื่อทำความดี หรือการบริจาคสิ่งของหรือกำลังกาย ก็ถือว่าเป็นการให้ และสิ่งที่น่าสนใจก็คือจากงานวิจัยเราพบว่า “การให้” นั้นนำไปสู่สุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีมากกว่าการออกกำลังกายและการหยุดสูบบุหรี่ด้วยซ้ำไป นอกจากการให้ในลักษณะที่เราคุ้นเคยแล้ว การรับฟังผู้อื่น การถ่ายทอด ให้ความรู้ของตนเองต่อผู้อื่น หรือ การให้อภัย ก็ล้วนแล้วแต่เพิ่มความสุขให้กับเราได้ สุดท้ายที่น่าสนใจที่สุดก็คือเราจะมีความสุขมากขึ้นถ้าใช้เงินเพื่อผู้อื่น มากกว่าการใช้เงินเพื่อตนเอง ดังนั้นถ้าท่านอยากจะมีความสุขจากการใช้เงิน ก็ขอให้ใช้เงินนั้นเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตนเอง
วิถีไทย ธรรมะ ธรรมชาติ: อนาคต ความสุข ความทุกข์
วิถีไทย ธรรมะ ธรรมชาติ: อนาคต ความสุข ความทุกข์: "*... คนเราเมื่อยังหวังอะไร ๆ ก็ตาม กับอนาคตอยู่ จึงไม่ควรตัดอนาคตของตนด้วยความรู้ ความเห็น และความประพฤติต่าง ๆ ที่นักปราชญ์ผู้ทำนายอนาคตต..."
อนาคต ความสุข ความทุกข์
*... คนเราเมื่อยังหวังอะไร ๆ ก็ตาม กับอนาคตอยู่ จึงไม่ควรตัดอนาคตของตนด้วยความรู้ ความเห็น และความประพฤติต่าง ๆ ที่นักปราชญ์ผู้ทำนายอนาคตติเตียนไม่เห็นด้วย จะเป็นผู้หมดหวัง ทั้ง ๆ ที่อนาคตยังมีอยู่กับโลกผู้มีความหวังทั้งหลาย นอกจากความไม่มีหวังเป็นของเราแล้ว ความทุกข์มหันต์อันแสนที่จะทรมานยังมาเป็นของเราเข้าอีก นับว่าทุกข์ ทั้งซ้ำ ทั่้งย่ำ ทั้งเหยียบจนแหลกละเอียด ไม่มีชิ้นดี ทั้ง ๆ ที่หัวใจยังอยู่ ที่ท่านเรียกว่า เสวยวิบากกรรม...
*...ความสุข ความทุกข์ มันจะเกิดกับผู้ใด ก็มีธรรมเป็นเครื่องชำระล้างสิ่งนี้ได้จริง ๆ ... และโดยสิ้นเชิง ท้ายที่สุด ร่างกายจะมีความเจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหนก็ตาม จิตจะไม่ได้รับความกระทบกระเทือน จิตรู้ตามความเป็นจริงอยู่ตลอดเวลา... เพราะจิตมีความรอบตัวและมีความฉลาด ... ถ้าจิตโง่เสียอย่างเดียว...ก็จะเกิดความยุ่งเหยิง วุ่นวาย ขุ่นมัวขึ้นภายในจิต เกิดความทุกข์ขึ้นมา...
จากหนังสือ ธรรมะชาวบ้าน ของท่านหลวงตา พระมหาบัว
ความพลัดพราก
*...เพราะความพลัดพราก จากกันนั่นแล ทำให้คู่ครองของแต่ละฝ่ายต้องอยู่คนเดียว เปลี่ยวกาย เปลี่ยวใจ ไม่มีใครเป็นคู่ทุกข์คู่่ปรึกษา แม้จะแสนทนทุกข์ทรมานแสนขมขื่น ก็จำใจกล้ำกลืนไปตามกฏของกรรม ซึ่งจำมาจำจากจำพลัดพรากจากไป เช่นนั้นทั่วไตรภพ...
*...ตราบใดที่ยังปล่อยตัวไปตามกระแสความอยาก อันเป็นทางเสื่อมโทรมสุขภาพและโภคทรัพย์ ไม่มีการหักห้ามต้านทานบ้าง ยังจะไม่เจอความสุข ความเจริญ ดังใจหมายอยู่ตราบนั้น...
จากหนังสือธรรมะชาวบ้าน ของ ท่านหลวงตา พระมหาบัว
วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
กรรม คือ การกระทำ
*... การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรอง เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับทุกข์ จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตนงดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย ความทุกข์เป็นของน่าเกลียด น่ากลัว แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง....
*... การทำความดีใส่ตัวเป็นสิ่งที่ทำยากมาแต่กาลไหน ๆ มิใช่จะมายากเฉพาะวันนี้ และยากเฉพาะเราคนเดียว แต่ทำยากมาทุกยุคทุกสมัย และยากมาด้วยกันทุกคน... เพื่อเป็นการเตือนตนที่เข้าใจว่ามีความยุ่งยากลำบาก และฝืนใจยิ่งกว่ามนุษย์ทั้งหลาย พอมีช่องเดินได้ ไม่ปิดทางตัวเอง...
*... กรรม คือ การกระทำ ดี - ชั่ว ทางกาย - วาจา - ใจ ต่างหาก ผลจริงคือ ความสุข - ทุกข์ ที่ได้รับกันอยู่ทั่วโลก กระทั่งสัตว์ผู้ไม่รู้จักกรรม รู้แต่การกระทำคือหากินหาอยู่ ทางศาสนา เรียกว่า กรรมของสัตว์ ของบุคคล และผลกรรมของสัตว์ ของบุคคล...
*... การทำความดีใส่ตัวเป็นสิ่งที่ทำยากมาแต่กาลไหน ๆ มิใช่จะมายากเฉพาะวันนี้ และยากเฉพาะเราคนเดียว แต่ทำยากมาทุกยุคทุกสมัย และยากมาด้วยกันทุกคน... เพื่อเป็นการเตือนตนที่เข้าใจว่ามีความยุ่งยากลำบาก และฝืนใจยิ่งกว่ามนุษย์ทั้งหลาย พอมีช่องเดินได้ ไม่ปิดทางตัวเอง...
*... กรรม คือ การกระทำ ดี - ชั่ว ทางกาย - วาจา - ใจ ต่างหาก ผลจริงคือ ความสุข - ทุกข์ ที่ได้รับกันอยู่ทั่วโลก กระทั่งสัตว์ผู้ไม่รู้จักกรรม รู้แต่การกระทำคือหากินหาอยู่ ทางศาสนา เรียกว่า กรรมของสัตว์ ของบุคคล และผลกรรมของสัตว์ ของบุคคล...
บุญบาป
*... แทบทุกสิ่งในโลกย่อมมีประโยชน์แก่ผู้ใช้ แต่ไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ไม่สนใจและไม่รู้จักใช้ คุณธรรมมีประเภทต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโลกก็เช่นเดียวกัน ย่อมขึ้นอยู่กับผู้สนใจปฏิบัติรักษา คุณธรรม ก็อำนวยประโยชน์แก่ผู้นั้น ๆ ... กตัญญูกตเวทิตาคุณ ที่ใคร ๆ ก็ตาม เคยบำเพ็ญต่อท่านผู้เคยมีคุณแก่ตน เมื่อถึงคราวจำเป็นและต้องการระลึกถึง ก็ย่อมหวังได้รับผลตอบแทนเช่นเดียวกับสิ่งที่มีคุณภาพด้านอื่น ๆ ...
*... ท่านที่ว่าดี - ชั่ว มิได้เกิดขึ้นมาเอง แต่อาศัยการทำบ่อยก็ชิน ไปเอง เมื่อชินแล้ว ก็กลายเป็นนิสัย ถ้าเป็นฝ่ายชั่วก็แก้ไขยาก คอยแต่จะใหลหลงไปตามนิสัยที่เคยทำอยู่เสมอ ถ้าเป็นฝ่ายดีก็นับว่าคล่องแคล่วแกล้วกล้าขึ้นเป็นลำดับ...
*... สัตว์ใดก็ตามบุคคลใดก็ตาม ถ้าลงเชื่อแน่ว่าตายแล้วสูญคนก็ฉิบหายทั้งเป็น ยังเหลือแต่ลมหายใจฝอด ๆ เท่านั้น ใครจะแก้ต้องรีบแก้ ไม่แก้ไขไม่ได้ อันนี้จะจมแน่ ๆ เพราะมันไม่สูญละซี...
กิเลสวัฏฏ์นั่นแหละมันทำให้กรรมอยู่นั้น มันจะเอาอะไรมาสูญ ถ้าทำกรรมด้วยอำนาจของกิเลสมันก็จะบอกให้ทำแต่บาปแต่กรรมชั่วลามกทั้งหลาย แล้วตายลงไป ก็ไปจมอยู่ในนรก... ไม่เคยได้ยินว่า บาปสูญ บุญสูญ นรกสูญ สวรรค์ พรหมโลก นิพพานสูญ ไม่เคยมี มีแต่กิเลสนั่นแหละมันอุตริมาหลอกโลกว่า ตายแล้วสูญ ๆๆๆ...
บทธรรม พระราชญาณวิสุทธิโสภร (ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน)
กิเลสวัฏฏ์นั่นแหละมันทำให้กรรมอยู่นั้น มันจะเอาอะไรมาสูญ ถ้าทำกรรมด้วยอำนาจของกิเลสมันก็จะบอกให้ทำแต่บาปแต่กรรมชั่วลามกทั้งหลาย แล้วตายลงไป ก็ไปจมอยู่ในนรก... ไม่เคยได้ยินว่า บาปสูญ บุญสูญ นรกสูญ สวรรค์ พรหมโลก นิพพานสูญ ไม่เคยมี มีแต่กิเลสนั่นแหละมันอุตริมาหลอกโลกว่า ตายแล้วสูญ ๆๆๆ...
บทธรรม พระราชญาณวิสุทธิโสภร (ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ให้บริการประชาชนในการทำสัญญาเช่าที่ดินของกรมชลประทาน (ที่ดินของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) ในเขตโครงการจัดรูปที่ดิน จังหวัดขอนแก่น เพื่อใช้ในการที่อยู่อาศัย
วันที่ 25 มกราคม 2565 สำนักงานจัดรูปที่ดินและจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรมที่ 12 ได้ให้บริการประชาชนในการทำสัญญาเช่าที่ดินของกรมชลประทาน (ที่ดิ...
-
วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน 2562 ( เวลา 09.30 น.) นายอรุชา เจียรอุดมเดช ผู้อำนวยการสำนักงานจัดรูปที่ดินและจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรม...
-
วันอังคาร ที่ 30 มีนาคม 2564 เวลา 08.30-14.30 น. นายสุรชาติ เพ็งมีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานจัดรูปที่ดินและจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรมที่12 มอบหม...
-
วันจันทร์ที่ 29 เมษายน 2562 เวลา 09.30 น. นายธานินทร์ จันทโรบล ผู้อำนวยการสำนักงานจัดรูปที่ดินและจัดระบบ...